|
Your Account
|
Help
Post News  :   เข้าใจระบบมือถือ 1G 2G 3G 4G

คราวนี้เราจะมาอ่านและทำความเข้าใจกันจริงๆ ถึงระบบมือถือกันน่ะค่ะ  หลายคนที่เรียนแล้วยังสงสัยและไม่เข้าใจว่าแต่ละระบบ  แตกต่างกันอย่างไร และคำนิยามต่างๆ มีความหมายอย่าง ไรบ้าง ก็ขอให้สละเวลาอ่านกันสักนิดค่ะ เพื่อความรู้และความเข้าใจในการเรียนทางด้านโทรคมนาคม ^^

การที่เราจะเข้าใจระบบมือถือ 2G 3G 4G เราควรต้องเข้าใจ 4 เรื่องนี้
1. Technology (เทคโนโลยี) คือ ก็คือวิธีการต่างๆที่วงการมือถือเอามาใช้เพื่อให้เราสามารถคุยกันได้ โหลด หรือส่งข้อมูลกันได้
2. Spectrum (ช่องสัญญาณความถี่) คือ ความถี่ที่ใช้ในการส่งหรือรับข้อมูล เช่น AIS ใช้ 900MHz , DTAC กับ True ใช้ 1800 MHz
3. กลุ่มองค์การโทรคมนาคม
4. Standard (มาตรฐาน) คือ การรวมเอาข้อกำหนดว่าใช้ Technology ตัวไหน ต้องใช้ช่องสัญญาณไหน ต้องใช้ Protocol อะไร หรือต้องมีความเร็วในการรับส่งข้อมูลเท่าไหร่(เป็นที่มาของ G ต่างๆ)  มากำหนดและตั้งเป็นมาตราฐานขึ้นมาใช้กันทั่วโลก ทำไมเราต้องมีมาตรฐานล่ะ?  ก็คนผลิตอุปกรณ์จากแต่ละบริษัทจะได้ผลิตอุปกรณ์ให้ออกมาเหมือนกันและใช้งานกันได้ไง (เรียกว่าใช้มาตรฐานเดียวกัน) คนที่ใช้อุปกรณ์ก็จะรู้ด้วยว่าอุปกรณ์นี้ใช้ได้ในระบบมาตรฐานอะไรได้บ้าง  ตัวอย่างมาตรฐานก็เช่น GSM,  CDMA, UMTS, W-CDMA, HPSA, HPSA+, WiMax, LTE … ผู้ที่ทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานก็คือกลุ่มองค์การโทรคมนาคมต่างๆ

1. Technology (เทคโนโลยี)
Simplex กับ Duplex
Simplex คือ ในช่วงเวลาเดียวกันสามารถมีคนพูดได้คนเดียว (ผู้สนทนา ไม่สามารถพูดพร้อมกัน) คนนึงพูดอีกคนนึงต้องฟัง ตัวอย่างเครื่องมือใช้ Simplex ก็คือพวก Walkie-Talkie
Duplex คือ การที่ผู้พูดทั้ง 2 ฝ่ายสามารถพูดพร้อมกันได้ และนั่นคือสิ่งที่มือถือจำเป็นต้องมื เวลาเราพูดออกไป(หรือส่งข้อมูลออก) สัญญาณจากมือถือเราจะถูกส่งออกไปยังเสาสัญญาณมือถือ(ฺBase Station) หรือเราเรียกว่าการ Uplink , ส่วนเวลาเราฟังเสียงอีกฝั่งนึงพูด(หรือรับข้อมูล) สัญญาณจากเสามือถือจะถูกส่งเข้ามาที่เครื่องโทรศัพท์เรา อันนี้เรียกว่า Downlink, Duplex จะต้องทำ Downlink และ Uplink ได้พร้อมๆกัน

TDD กับ FDD
FDD หรือ Frequency Division Duplex คือ การส่งสัญญาณ Downlink และ Uplink ด้วยช่องความถี่ Spectrum ที่ต่างกัน เช่น downlink ที่ความถี่ 2100 MHz แต่ Uplink ด้วยความถี่ 1900 MHz (operators บ้านเราใช้วิธีนี้ เช่น True Move ใช้ 1710-1722.7MHz ในการ uplink  และ 1805-1817.7 MHz ในการ Downlink  แต่คนทั่วไปจะเรียกรวมๆว่า True Move ใช้คลื่น 1800 MHz เพราะว่าทั้ง 2 คลื่นนั้นใกล้กับ 1800 MHz)
TDD หรือ Time Division Duplex  คือ การส่งสัญญาณ Downlink และ Uplink ด้วยความถี่เดียวกัน แต่ต่างช่วงเวลา เช่นวินาทีที่1 รับสัญญาณ (downlink) วินาทีที่ 2 ก็ส่งสัญญาณ (Uplink)  ทั้งหมดนี้ภายใต้ความถี่เดียวกัน (เช่นภายใต้ความถี่ 2100 MHz)  แต่ด้วยความที่การสลับเวลา uplink และ downlink รวดเร็วมาก เราจึงไม่รู้สึกว่าเสียงที่เราพูดหรือฟังมันขาดๆหายๆ

 

TDMA, CDMA และ FDMA
TDMA หรือ Time Division Multiple Acces คือ การแบ่งคู่สาย(Users) โดยใช้เวลาที่ต่างกัน (สลับเวลาให้แต่ละ User)
CDMA หรือ Code Division Multiple Access คือ การแบ่งคู่สายโดยใช้รหัสเฉพาะ (Code)
FDMA หรือ Frequency Division Multiple Access คือ การแบ่งคู่สายโดยใช้ช่องสัญญาณความถี่ที่ต่างกัน

 

อย่าสับสน TDMA, FDMA กับ TDD, FDD:
TDMA, CDMA คือ การแบ่งคู่สายหลายๆคู่สาย(users)เมื่อใช้งานเวลาเดียวกัน เช่น ตอนนี้มีคนคุยกันอยู่ 10 คู่พร้อมๆกัน เราจะแบ่งกันยังไง
TDD, FDD คือ การแบ่ง downlink และ uplink

Asymmetric และ Symmetric Transmission
Symmetric Transmission คือ การส่งสัญญาณ(ข้อมูล) Downlink และ Uplink ด้วยอัตราที่เท่ากัน
Aymmetric Transmission คือ การส่งสัญญาณ(ข้อมูล) Downlink และ Uplink ด้วยอัตราที่ไม่เท่ากัน ส่วนใหญ่จะส่ง Downlink เร็วกว่า เพราะส่วนใหญ่เรา Download มากกว่า Upload (เช่นเวลาเราเปิด website ส่วนใหญ่เราจะดึงข้อมูล มากกว่าส่งข้อมูลออก
Symmetric and Asymmetric Transmission

Macro Cell, Micro Cell, Pico Cell
Macro Cell ใหญ่สุดครอบคลุมขนาดประมาณ เมืองๆนึง
Micro Cell  ใหญ่รองลงมา ขนาดประมาณ ตำบล หรือ อำเภอนึง
Pico Cell เล็กสุด  คือขนาดประมาณสถานที่นึงๆ เช่น เฉพาะโรงแรม เฉพาะสนามบิน
ยกตัวอย่าง TDD จะสามารถใช้ได้แค่ Pico Cell เพราะถ้าส่งไกลกว่านั้น จะมีการ Delay ระหว่างการ downlink และ uplink มาก ทำให้ระบบไม่สามารถแยกได้ว่า อันไหน up อันไหน down

Circuit Switching กับ Packet Switching

แต่่ก่อนการเชื่อมต่อเสียงจำเป็นต่อเชื่อมต่อสาย(โทรศัพท์) กันจริงๆ  เช่นคนนึงโทรหาอีกคนนึง ระบบโทรศัพท์ก็จะมี Switch ที่สับสายโทรศัพท์ของคนโทรไปต่อกับสายโทรศัพท์ของคนที่เราอยากจะคุยด้วย  ตอนคุยกันสายก็จะเชื่อมอยู่อย่างนั้นตลอด จนกระทั่งเราวางสาย Switch ก็จะสับสายออก …วิธีการนี้เรียกว่า Circuit Switching

ทุกวันนี้ระบบใหม่ๆ ไม่เป็นอย่างนั้น เวลาเราโทรหาปลายทาง
- เสียงที่เราคุยจะถูกตัดเป็นส่วนๆ – ส่วน Data
- แต่ละส่วนจะถูกเพิ่มข้อมูล Address (ที่อยู่ผู้รับ) – ส่วน Header
- แต่ละส่วนก็จะถูกส่งผสมปนเปไปกับข้อมูลอื่นๆ(คนโทรคนอื่น)
- ฝั่งคนรับก็จะรับข้อมูลแต่ละส่วน แล้วประกอบข้อมูลกลับมาใหม่ (รวมเสียงที่ถูกตัด เป็นเสียงที่ต่อเนื่องเหมือนเดิม)
วิธีการนี้เรียกว่า Packet Switching

เทคนิคเฉพาะสำหรับการส่งความเร็วสูงๆแบบใหม่ๆ  HSPA+ , WiMax, LTE  (WiFi N ก็ใช้น่ะ)

MIMO หรือ Multiple Input Multiple Output เป็นเทคโนโลยีของการใช้เสาอากาศหลายๆเสาในการส่งและรับข้อมูลได้มากขึ้นและชัดเจนขึ้นตามจำนวนเสา ยกตัวอย่างเช่น เรามี 1 เสาอากาศ เราก็ส่งข้อมูลได้แค่ 1 ชุด แต่ถ้าเรามี 2 เสา เราจะส่งข้อมูลได้ 2 ชุดภายในเวลาเดียวกัน (โดยแต่ละเสาส่งข้อมูลคนละชุด) ที่พิเศษคือการส่งข้อมูลทั้ง 2 ชุดจาก 2  เสานี้ทำภายใต้ช่องความถี่ของคลื่นสัญญานเดียวกัน  แต่ที่ตัวรับสามารถแยกแยะได้ว่าข้อมูลไหนมาจากเสาไหนก็เพราะใช้เทคนิคที่ชื่อว่า Spatial Diversity  โดยเค้าจะใช้ Concept ว่า ข้อมูลมาจากเสาที่ต่างกันจะมีการสะท้อนต่อสิ่งแวดล้อมที่ต่างกันก่อนมาถึงตัวรับ  แล้วเมื่อรับข้อมูลมาแล้ว Chip DSP ที่ตัวรับก็จะแยกได้ว่าข้อมูลไหนมาจากเสาไหนโดยดูจาก Pattern ของสัญญาณแต่ละสัญญาณที่บิดเบือนไป(เพราะสิ่งแวดล้อม)  ส่วนที่สามารถรับข้อมูลได้ชัดเจนขึ้นก็เนื่องมาจากใช้ MIMO ควบคู่กับเทคนิค OFMDA

OFMDA หรือ Orthogonal Frequency Division Multiple Access คือ การใช้ FMDA ส่งสัญญาณโดยแบ่งช่องสัญญาณออกเป็นหลายๆช่องเล็กๆ (ความถี่ต่างกันน้อยมากแต่ละช่อง)แต่เพื่อไม่ให้ข้อมูลในแต่ละความถี่ตีกัน แต่ละความถี่ที่ติดกันจะถูกส่งออกมาด้วยเฟสที่ต่างกัน 90 องศา(Orthogonal Frequency) ความถี่จึงไม่ตีกัน  และระยะเวลาส่งแต่ละข้อมูลจะนานขึ้นถึงแม้ข้อมูลจะ Distort ไปบ้างแต่ด้วยสัญญาณที่นานขึ้นเวลารับสัญญาณก็นานขึ้นด้วย ส่งผลให้ตัวรับสามารถรับข้อมูลได้ดีขึ้น

2. Spectrum (ช่องสัญญาณความถี่)

คือ ความถี่ที่ใช้ในการส่งหรือรับข้อมูล เช่น AIS ใช้ 900MHz , DTAC กับ True ใช้ 1800 MHz ที่สำคัญคือ การส่งสัญญาณต่างๆไม่สามารถส่งภายใต้ความถึ่เดียวกันได้ เพราะสัญญาณจะตีกัน  ดังนั้นช่องสัญญาณความถี่จึงเป็นสมบัติสำคัญของชาติเพราะเมื่อให้กับใครแล้วคนอื่นก็ไม่สามารถเอาไปใช้อย่างอื่นได้อีก เรื่องราว 3G บ้านเราจึงวุ่นวายอยู่ ณ ขณะนี้

อีกอย่างความถี่ที่ลงตามข่าวหนังสือพิมพ์หรือเวปไซด์ต่างๆของค่ายมือถือ เป็นแค่ความถี่โดยประมาณ ถ้าอยากจะรู้ว่าแต่ละค่ายมือถือใช้คลื่นจริงๆอะไรบ้าง ให้ดูตามกราฟข้างล่างนี้ครับ  ที่เขียนว่า To be auctioned นั้นคือ ช่วงความถี่ที่ กทช เอาไปประมูลนั่นเอง  ส่วน DPC ก็คือบริษัทที่ถูก AIS ซื้อไปแล้วกลายเป็น ระบบ GSM1800 ของ AIS

3. กลุ่มองค์การโทรคมนาคม

ITU หรือ International Telecommunication Union คือ องค์การตัวแทนของกลุ่มประเทศ UNs (ตอนนี้มี 191 ประเทศ) ที่ทำหน้าที่ในการให้ข้อมูล ควบคุม และวางระเบียบ มาตฐาน เกี่ยวกับเทคโนโลยีการสื่อสาร มีสำนักงานอยู่ที่ประเทศ Switchzerland  ถือเป็นองค์การโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในโลก  มาตรฐานที่สำคัญที่ออกมาจากองค์การนี้คือ IMT-2000 (สำหรับ 3G) และ IMT-Advanced (สำหรับ 4G)

ETSI หรือ European Telecommunication Standard Institute คือ องค์การสร้างมาตรฐานของอุตสาหกรรมการสื่อสารของกลุ่มประเทศยุโรป

ARIB/TTC หรือ Association of Radio Industries and Businesses/Telecommunication Technology Committee คือ เหมือนกับ ETSI แต่เป็นองค์การของประเทศญี่ปุ่น ;P
CCSA หรือ China Communications Standards Association เหมือนกับ ETSI แต่เป็นองค์การของประเทศจีน ;P
ATIS หรือ Alliance for Telecommunications Industry Solutions เหมือนกับ ETSI แต่เป็นองค์การของประเทศอเมริกาเหนือ ;P
TTA หรือ Telecommunications Technology Association เหมือนกับ ETSI แต่เป็นองค์การของประเทศเกาหลีใต้ ;P

พวกนี้ไม่ใช่องค์การ แต่เป็นโปรเจคที่ทำโดยความร่วมมือหลายๆองค์การ

3GPP หรือ  3rd Generation Partnership Project เป็นโปรเจคที่ร่วมกันสร้างมาตรฐาน 3G ภายใต้เทคโนโลยี  GSM โดยมีสมาชิก 5 องค์การด้วยกันคือ ETSI, ARIB/TTC, CCSA, ATIS, TTA   มาตรฐานที่ออกมาจากโปรเจคนี้คือมาตรฐานต่างๆในตระกูล GSM ครับเช่น UMTS, HPSA, HPSA+, LTE, LTE advanced … (สังเกตุว่า มาตรฐานพวกนี้ออกมาก็ยังต้องให้สอดคล้องกับมาตรฐานของ ITU , เช่น UMTS คือหนึ่งในมาตฐานที่สอดคล้องกับ มาตรฐาน IMT-2000)
3GPP2 หรือ  3rd Generation Partnership Project2 เป็นโปรเจคที่ร่วมกันสร้างมาตรฐาน 3G ภายใต้เทคโนโลยี  CDMA โดยมีสมาชิก 4 องค์การด้วยกันคือ ARIB/TTC, CCSA, ATIS, TTA (สังเกต++  สมาชิกเหมือนกับกลุ่มแรกน่ะแหละแต่ว่าขาด ETSI เพราะว่าพวกฝั่งประเทศยุโปรมีแต่ GSM)  มาตรฐานที่ออกมาจากโปรเจคนี้คือมาตรฐานต่างๆในตระกูล CDMA ครับเช่น CDMA2000-1X, CDMA2000-1X EV-DO Rev ต่างๆ, UMB

4. Standard (มาตรฐาน)

คือ การรวมเอาข้อกำหนดว่าใช้ Technology ตัวไหน ต้องใช้ช่องสัญญาณไหน ต้องใช้ Protocol อะไร หรือต้องมีความเร็วในการรับส่งข้อมูลเท่าไหร่(เป็นที่มาของ G ต่างๆ)  มากำหนดและตั้งเป็นชื่อมาตราฐานขึ้นมาใช้กันทั่วโลก คนผลิตอุปกรณ์แต่ละบริษัทจะได้ผลิตอุปกรณ์ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน คนที่ใช้อุปกรณ์ก็จะรู้ด้วยว่าอุปกรณ์นี้ใช้ได้ในระบบอะไรได้บ้าง ตัวอย่างมาตรฐานก็เช่น GSM,  CDMA, UMTS, W-CDMA, HPSA, HPSA+, WiMax, LTE … ส่วนใหญ่คนที่ทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานก็คือองค์การต่างๆ

ส่วนพวก 1G 2G 3G 4G คืออะไร  1G คือระบบ Analog (พวกโทรศัพท์อันใหญ่ๆแต่ก่อนน่ะ) หลังจากนั้นตั้งแต่ 2G จะเป็น Digital หมด
ส่วน 2G , 3G , 4G พวกนี้จะแบ่งด้วยความเร็วในการรับส่งข้อมูล  ข้อมูลแต่ละที่ยังแบ่งไม่เหมือนกันเลยโดยเฉพาะพวก 3.5G, 3.75G, 3.9G

ตารางข้างล่างสรุปไว้แล้วว่า มาตรฐานอะไรคือ G อะไรโดยอาศัยข้อมูลส่วนใหญ่จาก Wikipedia   ส่วนความเร็วที่ต่อท้ายมาตรฐานนั้นๆ เป็นความเร็ว Peak Download ตามทฤษฎี ความเร็วในการใช้งานจริงอาจจะไม่เท่านั้นก็ได้

ส่วนตารางนี้เป็นตารางสรุปรายละเอียดของมาตรฐานต่่างๆ ว่าใช้ Air interface อะไร ว่าใช้ RAN หรือว่า Core Network อะไร
RAN คือการพูดรวมระบบของ Base Station (เสาอากาศ) และพวก Radio Network Controller
Core Network คือ Network หลักที่เชื่อมต่อกับระบบอื่นๆ ไว้ว่าจะเป็นระบบ โทรศัพท์บ้าน , Internet

 

GSM หรือ Global System For Mobile Communications คือมาตรฐานมือถือที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลกน่ะตอนนี้ (ประมาณ 80%) ถือกำเนิดจากโซนประเทศยุปโรป ด้วยแนวคิดที่ว่า เราสามารถใช้มือถือเครื่องเดียวได้ ในทุกประเทศ (ประเทศในโซนยุโรปส่วนใหญ่ใช้ GSM)  GSM นี้ใช้เทคโนโลยี FDD, TDMA  การ Modulation แบบ GMSK และสามารถใช้ได้หลายช่องสัญญาณความถี่ตัวอย่างเช่น 850 900 1800 1900 MHz , ส่วนความเร็วในการส่งข้อมูลนั้นต่ำมากเพราะว่ายังเป็น Circuit Switch อยู่

 

CDMA one หรือ Code Division Multiple Access One คือมาตฐานที่ถูกพัฒนาโดยประเทศอเมริกา (Qualcom) โดยใช้ CDMA ในการจัดการคู่สาย ใช้ช่องสัญญาณ 800 หรือ 1900 MHz

 

GPRS หรือ General Packet Radio Service คือการพัฒนาระบบ GSM โดยเริ่มใช้วิธี Packet Switch บน Circuit Switch ทำให้มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลเพิ่มขึ้น บางที่จะถือมาตรฐานนี้ว่า 2.5G

 

EDGE หรือ Enhance Datarate for GSM Evolution คือการพัฒนา Coding และ Modulation จากระบบ GPRS ทำให้สามารถรับส่งข้อมูลได้เร็วมากขึ้น ถือว่าเป็น 2.75G CDMA2000-1X, CDMA2000-1xEV-DO (Evoluation Data Optimiztion) คือการพัฒนาระบบ CDMA เดิมของ CDMAone  โดยใช้ TDMA เข้ามาช่วย ทำให้มีการรับส่งข้อมูลได้เร็วขึ้น

 

W-CDMA หรือ UTRA-FDD เป็นการ Upgrade ระบบ GSM จาก 2G เป็น 3G โดยกลุ่ม 3GPP โดยเปลี่ยนระบบรับส่งข้อมูลทางอากาศ(Air interface) จาก TDMA เป็น DS-CDMA (Direct Sequence Code Devision Muliple Access) แทน และ Modulation แบบ GMSK เป็น QPSK แทน มีมาตรฐานใหม่ในสำหรับ RAN คือ UTRAN แต่ยังคงใช้ร่วมกับ GERAN ของ GSM ได้ ระบบ Core Network ก็ยังคงใช้ระบบ GSM/GPRS เดิมอยู่  ส่วนการแยก Downlink / Uplink จะใช้วิธี FDD , ส่วนใหญ่ทั่วโลกจะใช้ 3G จากระบบนี้  (3G ประเทศไทยกำลังทำระบบนี้อยู่ ดังนั้นสิ่งที่ต้อง upgrade ก็จะเป็นพวก อุปกรณ์ที่ติดบนฐานส่งสัญญาณที่เกี่ยวกับAir interface  แต่อุปกรณ์ภาคพื้นดินพวก RAN  และ Core Network ไม่ต้อง Upgrade)

 

TD-CDMA หรือ UTRA-TDD จะเหมือนกับระบบ W-CDMA แต่แทนที่จะใช้ DS-CDMA ก็ใช้ TD-CDMA แทน แล้วก็แยก Downlink/Uplink โดย TDD (ใช้ช่องสัญญาณความถี่เดียว) ระบบนี้ถูกพัฒนาและใช้งานในประเทศจีน

 

HSPA หรือ High Speed Packet Access เป็นการ Upgrade Protocol (ภาษาในการส่งสัญญาณ) ทำให้สามารถส่งข้อมูลได้เร็วมากขึ้น โดยต้อง Upgrade ทั้ง HSPDA (ภาษาสำหรับ Download) และ HSUPA (ภาษาสำหรับ Upload) นอกจากนั้นก็เปลี่ยนวิธีการ Modulate จาก QPSK เป็น 16-QAM  ส่วนมากการ Upgrade จาก W-CDMA เป็น HSPA ต้องการแค่การ Update Software

 

HSPA+ หรือ Enhanced HSPA เป็นการ Upgrade Modulation ให้ดีขึ้นอีก จาก 16-QAM เป็น 64-QAM และ HSPA+ รุ่นหลังๆจะใช้เทคโนโลยี MIMO (หลายเสาอากาศ) ร่วมเข้าไปด้วย

 

LTE หรือ Long Term Evolution หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็น technology สำหรับ 4G เพราะแต่ละ Operator ชอบโฆษณาว่าเป็น 4G  แต่จริงๆ LTE ไม่่ผ่านมาตรฐาน IMT advance 4G(จาก ITU) ที่ต้องการความเร็วขั้นต่ำในการส่งข้อมูลที่ 1 Gbps (LTE ทำได้แค่หลัก 100 Mbps) ดังนั้นถ้านับจริงๆก็คือ 3.9G , LTE เป็นการออกแบบระบบขึ้นมาใหม่เลยโดย Air Interface จะใช้ เทคโนโลยี OFDMA และ SC-FDMA แทน DS-CDMA หรือ TS-CDMA ใน 3G และทำให้ Flexible ในการเลือกใช้ขนาดช่องสัญญาณได้ตั้งแต่ 1.4-20MHz  และ Modulate ได้ทั้ง 16QAM, 64QAM, QPSK และเปลี่ยน UTRAN เป็น E-UTRAN นอกจากนั้นยังเปลี่ยน Core Network จาก GPRS core network เป็น SAE (System Architecture Evolution) โดยเป็น Network ที่อาศัย IP address (IPv6) ทั้งระบบเป็นการส่งข้อมูล/เสียงแบบ Packet Switchล้วนๆ   และก็ยังรวมระบบหลายเสาอากาศ MIMO ไว้ด้วยเพื่อเพิ่มความเร็วในการรับส่งข้อมูล

 

LTE Advanced คือ ภาคต่อของ LTE เพื่อที่จะให้ได้ตามมาตรฐาน 4G จริง (1Gbps peak download) ตอนนี้มาตรฐานก็ยังไม่ได้สรุปออกมาอย่างเป็นทางการ แต่เทคโนโลยีหลักๆที่จะเพิ่มขึ้นมาคือการใช้ MIMO ที่มากขึ้น (เสาเพิ่มขึ้น) และการ Optimize network ที่ไม่เหมือนกันโดยการผสม Macro Cell และ Pico Cell หรือ Femto Cell (ยิ่งเล็กเข้าไปอีก)

 

UMB หรือ Ultra Mobile Broadband คือ ภาค 3.9G (หรือ 4G) ของระบบ CDMA พัฒนาโดยบริษัท Qualcomm แต่เนื่องจากหลังๆ Qualcomm ก็มีส่วนร่วมในการพัฒนามาตรฐาน LTE ด้วยเหมือนกัน แล้วหลังจากที่ LTE ถูกเพิ่มความสามารถให้ทั้งเครือข่าย GSM และ CDMA สามารถ Upgrade เป็น LTE ได้  หลังจากนั้นก็ไม่มีใครสนใจ UMB อีกต่อไป …. อวสาน CDMA จ้า…

WiMax คือ Worldwide Interoperability for Microwave Access จะมีลักษณะคล้ายๆกัน WiFi คือการใช้ IP ในการติดต่อสื่อสาร แต่แทนที่จะติดต่อสื่อสารกับ Wireless Router เหมือนกับ WiFi , WiMax จะติดต่อกับโครงข่ายมือถือแทน  มาตรฐานสำหรับ WiMax คือ IEEE802.16 ข้อดีของ WiMax ที่ต่างกับ WiFi คือระยะการทำงาน  WiFi อย่างมากก็ประมาณสัก 100 เมตร แต่สำหรับ WiMax จะมีระยะมากสุดถึง 50 กมสำหรับการใช้งานที่ไม่มีการเคลื่อนไหว และ 15 กม สำหรับการใช้งานที่มีการเคลื่อนไหวWiMax ถึงแม้จะใช้เครือข่ายมือถือ แต่มักจะถูกพูดถึงในการนำมาใช้งานแทนระบบ ADSL (พวก internet broadband) ที่ต้องมีการลากสาย เพราะว่า WiMax สามารถให้ความเร็วได้มากกว่า (1Gbps ตัวรับไม่เคลื่อนไหว) ด้วยระยะทางที่มากกว่า แต่ไม่ต้องมีการลงทุนเรื่องการเดินสายสัญญาณ (แต่ต้องลงทุน เสาอากาศ WiMax ที่เสาสัญญาณมือถือแทน)

ที่มา
http://www.techz500.com
อ้างอิง
http://www.three-g.net/3g_standards.html
http://jows.blogspot.com/2010/02/thailands-mobile-market-overview.html
http://lazure2.wordpress.com/2010/10/24/imt-advanced-4g-for-the-next-generations-of-interactive-mobile-services-china-is%C2%A0triumphant/
http://www.nokia.com/NOKIA_COM_1/Press/Press_Events/Nokia_Technology_Media_Briefing/LTE_Press_Backgrounder.pdf
http://www.slideshare.net/deepakecrbs/ltetutorial-100126072043-phpapp01-1
http://www.3g4g.co.uk/Hspa/HSPA_Pres_0803_Ericsson.pdf
http://www.radio-electronics.com/info/cellulartelecomms/lte-long-term-evolution/3gpp-4g-imt-lte-advanced-tutorial.php
http://www.qualcomm.com/documents/files/lte-advanced-heterogeneous-networks.pdf
http://www.cn-c114.net/583/a361645.html
http://en.wikipedia.org/wiki/3G
http://www.wimax.com/general/what-is-wimax
http://web2.uwindsor.ca/courses/engineering/ktepe/gwireless/projects/OFDMA.ppt
http://www.octoscope.com/English/Collaterals/Presentations/octoScope_Roadto4G_Interop_20090519.pdf

 
Back